วันพุธที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

ส่วนลึกของหัวใจฉันยังมีเธออยู่กับฉันทุกช่วงเวลา



ส่วนลึกของหัวใจฉันยังมีเธออยู่กับฉันทุกช่วงเวลา
ไม่ว่าทุกข์  สุข  หรือเหงา  เธอยังอยู่กับฉันเสมอ
ถึงแม้ว่ามันเป็นแค่ “ความรู้สึกที่ฉันมี”
แต่ฉันก็ยังภูมิใจที่ฉันยังสามารถเก็บความรู้สึก ๆ ดี ๆ
ที่เธอเคยให้ไว้กับฉัน ฉันยังจำวันแห่งความสุขของเราได้
ถึงแม้ว่ามันเป็นช่วงเวลาที่สั้น ๆ แต่ฉันจะขอจดจำมันไปตลอด
ถึงแม้ว่าคนข้าง ๆ ฉันตอนนี้มันไม่ใช่เธอ…
แต่ฉันก็จะยังคงขอเก็บเธอไว้ในส่วนลึกของหัวใจของฉัน
ฉันอาจจะเคยเสียใจ  ร้องไห้  ทรมาน  เหงา…
เวลาที่เธอจากไป….
แต่ฉันจะลบสิ่งเหล่านั้นออกไป..
ฉันจะเก็บ  “ความสุข”  ไว้กับฉันตลอดไป
เรามีสิทธิ์เลือกที่จะเก็บความรู้สึกดี ๆ และเลือกที่จะลบ
ความทรงจำที่ไม่ดีออกไปได้
และฉันจะเก็บสิ่งดี ๆ ให้อยู่กับฉันไปตราบนาน
แม้ว่าวันนี้ หรือวันต่อไป ไม่มีเขาอยู่ข้างกายแล้ว
 

ที่ใดมีรัก..ที่นั้นมีทุกข์..จริงหรือ?


ที่ใดมีรัก...ที่นั้นมีทุกข์ ได้ยินประโยคนี้ทีไรทำให้รู้สึกว่า มันยอมไม่ได้จริงๆ ที่จะมาโทษความรักว่าเป็นต้นเหตุของความทุกข์

ที่ใดมีรัก...ที่นั้นมีทุกข์ ช่วยอ่านกันใหม่อีกครั้ง แล้วพิจารณาด้วยใจ ว่าจริงๆแล้วเราทุกข์เพราะอะไร .... ใบ้ให้ก็ได้จากตัวเรานี่แหละ

เคยได้ยินประโยคของเพลงนี้หรือเปล่า.......“ดั่งในใจความบอกในกวี ว่าตราบใดที่มีรักย่อมมีหวัง”

ความหวังนี่เองที่ทำให้เราทุกข์ได้มากมายขนาดนี้...งง ล่ะสิ

“ที่ใดมีรัก...ที่นั้นมีความหวัง...ที่ใดมีความหวังที่นั้นมีทุกข์” นี่คือนิยามความรักของแอ้มเอง

“ความหวัง”ทำให้คนเรารู้สึกเป็นทุกข์....หวังทั้งๆที่รู้อยู่แก่ใจ....หวังลมๆแล้งๆ เหมือนการคอยฝนในหน้าแล้ง

อย่าบอกเชียวนะ ว่าคุณมีความรักที่ไม่ได้หวังผลตอบแทน หากคุณรักคนๆหนึ่ง คุณก็หวังที่จะให้เขารักตอบ

“สักนิด” “สักครั้ง ก็ยังดี” “ขอเพียงแค่นั้น” คุ้นๆหูคุ้นๆตาใช่ไหม เหล่านี้เป็นกำแพงที่เราสร้างขึ้น เพื่อยับยั้งความต้องการของเราเอง การยับยั้งความต้องการมันทรมานนะ คุณไม่รู้สึกเหรอ

มันเป็นความทรมานจากการห้ามความรู้สึกตัวเอง หลอกตัวเองว่าอย่ารักมากไปกว่านี้เลย ทั้งๆที่ความจริงก้อรักไปแล้วหมดหัวใจ

รักและคิดถึง เมื่อรักแล้วก้อต้องคิดถึง เวลาที่คิดถึงคุณมีความสุขหรือเปล่า ความคิดถึงกับความโหยหา ต่างกันตรงไหน? เวลาที่เราคิดถึงใคร

เราแอบคิดเสมอว่าเค้าจะคิดถึงเราอยู่บ้างไหม หรือคุณไม่เคยคิด

รู้สึกยังไงล่ะ.... ทรมานใช่ไหม ไม่ว่าเราจะรู้หรือไม่รู้ ว่าหวังแล้วจะมีผลอย่างไร เราก็จะทุกข์ตั้งแต่เราเริ่มหวังแล้ว เพราะความหวังมันจะมาพร้อมกับความกังวล และความไม่มั่นใจในสิ่งนั้น

หวังมาก ทุกข์มาก หวังน้อยทุกข์น้อย

ความหวังทำให้ชีวิตมีพลังใจ...ความหวังในความรัก... ทำให้เราตั้งใจเรียนผิดปกติ

(ทุกข์นะเนี่ย ปวดหัวจะแย่)

ความหวังทั้งๆที่รู้ว่ามันไม่มีวันสมหวัง....ทำให้เราทรมานแทบขาดใจ

ความรักเป็นสิ่งสวยงาม....ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องในการที่ทำให้เรามีความทุกข์ ......

แล้วไอ้คำว่า ที่ใดมีรัก..ที่นั้นมีทุกข์นั้นจริงหรือ??? คำตอบทั้งหมดน่าจะอยู่ที่ใจคุณแล้วล่ะ

สิ้นสุดแล้วเริ่มต้นใหม่ได้ ... เพราะชีวิตมีทิศตะวันออกเสมอ


บ่อยครั้งที่ชีวิตผิดพลาด ไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็แล้วแต่ เรามักจะเอาสมาธิไปจดจ่ออยู่กับความผิดพลาดนั้น ซ้ำเติมตัวเองให้ทุกข์ ให้เสียใจ และพยายามจะสร้างคำถามเพื่อค้นหาคำตอบให้ตัวเองอยู่เสมอ ทั้งๆ ที่เราก็รู้ว่าคำตอบที่สร้างขึ้นมานั้น มัน “ ไม่ใช่ความจริง” ที่จะทำให้เราหลุดพ้นจากความเสียใจนั้นได้เลย
เราจึงยอมติดกับดักความเสียใจอย่างถอน ตัวไม่ขึ้น และกลายเป็นทาสของมันอย่างรู้ตัว รู้ว่าเสียใจแต่ก็ไม่ทำให้อะไรมันดีขึ้นมา และเราก็ไม่สามารถย้อนเวลากลับไปแก้ไขอดีตได้ แต่ทำไมเรายังเป็นทุกข์กับการเลือกที่จะเสียใจ และทำชีวิตให้มันแย่ลงกว่าเดิมทุกวันๆ ทั้งๆ ที่ก็รู้ว่ารสชาติของมันสุดแสนจะขมขื่นมากมายเพียงใด
เพราะ “ เราเริ่มต้นใหม่ไม่เป็น”
เราเลยยังทุกข์ระทมไปกับความผิดพลาดของ ชีวิต สิ้นสุดแล้วแต่ก็เริ่มต้นใหม่ไม่ได้ ไปไม่เป็น เหมือนจะมองเห็นทาง แต่ก็เลือกที่จะปิดหู ปิดตา และไม่พยายามจะเปิดใจ เราจึงต้องอยู่กับความเศร้าเสียใจอยู่ทุกคืนทุกวัน ตอกย้ำความผิดพลาดให้ตัวเองอยู่อย่างนั้น
“Sunflower, sunflower, standing straight and tall,
Sunflower, sunflower, you’re the tallest flower of them all!
Sunflower, sunflower, when your seeds fall to the ground ,
Sunflower, sunflower, they’ll be found!”
ทานตะวันตระหง่านสูง
เจ้าช่างเป็นดอกไม้ที่สูงใหญ่
เมื่อเมล็ดร่วงหล่นสู่ผืนดิน
เราจะพบเจ้าอีกครั้ง... ดอกทานตะวัน
ลองมองดูวิถีดอกทานตะวันบ้างสิ ชีวิตมีแต่ความเบิกบาน เพราะรู้จักที่จะใช้ชีวิตไปพร้อมๆ กับแสงตะวัน แสงสว่างที่ส่องนำทางให้ชีวิตทุกชีวิต “ ยังคงมีชีวิต” แม้ยามที่ดอกทานตะวันร่วงโรย ก็ยังคงทิ้งเมล็ดพันธุ์ให้เจริญเติบโตงอกงามและรับแสงตะวันได้ใหม่อีกครั้ง
เพราะฉะนั้นเราต้องไม่ ปิดตัวเอง แล้วจมอยู่กับความคิดที่ว่าชีวิตต้องเริ่มต้นใหม่ไม่ได้ อย่าทำร้ายตัวเองด้วยการเศร้าเสียใจ แล้วปล่อยให้ชีวิตมันไหลไปเรื่อยๆ อย่างไม่มีคุณค่าและไร้จุดมุ่งหมาย จงใช้ชีวิตให้เป็นดั่งเช่นดอกทานตะวัน แม้ยามผิดพลาด เสียใจ ก็จะมีทางออกของชีวิตเสมอ อับจนหนทางอย่างไร แสงสว่างจากดวงตะวันก็จะคอยส่องทางให้เราได้พบเจอทางออก
“ ชีวิตเราจึงมีทางออก ตราบใดที่บนโลกใบนี้ยังมีทิศตะวันออก”
 
แม้ว่าชีวิตจะยังมืดมน จะยังคงจมอยู่กับความผิดพลาด เศร้าใจ ก็จงเศร้าให้ถึงที่ สุด เสียใจ ก็จงเสียใจเสียให้พอ หากยังร้องไห้ ขอให้ระบายน้ำตาออกมา อย่ากักเก็บมันไว้ เมื่อเราเสียใจอย่างถึงที่สุดแล้ว เราต้องกล้าลุกขึ้นมาปฏิวัติตัวเอง และพร้อมที่จะเป็นคนใหม่ ที่ใช้บทเรียนจากอดีตเป็นเหมือนเข็มทิศคอยช่วยบอกทางแก่ชีวิต เพราะ...
“ ความเศร้านั้นมีข้อดีข้อเสียในตัวมันเอง ข้อเสียคือทำให้เราโศกาอาดูร

แต่ข้อดีของมันคือ... สอนให้เรารู้ว่าเราจะไม่ผิดพลาดตรงนี้อีก

เราจะต้องไม่ร้องไห้ให้กับมันอีก”
ใครบางคนเคยบอกเอาไว้ตอนที่เสียใจกับความผิดพลาดของชีวิตเพราะ ฉะนั้นแล้วเกิดเป็นคน มีความรู้สึกรู้สาเหมือนกันหมด สามารถเศร้าเสียใจกับอดีตที่ผิดพลาดได้เหมือนกันหมด และก็เริ่มต้นใหม่เหมือนกันหมดเช่นเดียวกัน ขอเพียงกล้าที่จะเป็นนกปีกหักที่พร้อมจะรักษาตัวเอง และออกเดินทางได้โดยไม่กลัวว่าหนทางข้างหน้าจะผิด พลาดซ้ำสอง อย่าลืมนะว่า ...
“ เรามีโอกาสผิดพลาดได้บ่อยครั้งเท่าไหร่ เราก็เดินถูกทางมากขึ้นเท่านั้น”

เพ้อ



เพ้อ......

หวนอาวรณ์ตอนหวานรักซ่านทรวง
เคยติดบ่วงห้วงฝันพลันสลาย
มาบัดนี้มีเพียงภาพเคียงกาย
สิ่งสุดท้ายปลายทางยามร้างปอง

ฟังเพลงแว่วแผ่วเสียงเพียงครวญคร่ำ
เหมือนน้ำคำพร่ำหาอาลัยหมอง
สิ้นแล้วสุขทุกเสี้ยวที่เกี่ยวดอง
ได้แต่มองท้องฟ้าสบตาดาว

สายตาเล็งเพ่งผ่านม่านฟ้าหลัว
ดูหมองมัวทั่วฟ้าเวหาหาว
สิ้นแล้วแสงแรงจันทร์อันสกาว
มวลหมู่ดาวราวเหงาเคล้าเมฆา

เหมือนบางคนจนใจเคยใกล้ชิด
กลับหักจิตคิดหลบไม่พบหน้า
ดั่งกับจันทร์วันเพ็ญช่างเย็นชา
หลบกายาลาเร้นไม่เห็นกัน

เก็บความซ้ำคร่ำครวญไม่หวนกลับ
รักลาลับดับแล้วแคล้วผกผัน
ด้วยไม่เป็นเช่นหวังดังใจกัน
จะฝืนฝันฟันฝ่าไขว่คว้าใย

...........................................................

"ความรัก"กับ"อากาศ" เลือกที่จะขาดสิ่งไหน

ไม่มีอากาศ . . . ก็ไม่มีลมหายใจ


ไม่มีความรัก ยังหายใจได้ เหมือนทุกวัน


อากาศไม่ต้องเสาะแสวงหา


แต่ความรักจะได้มาต้องบากบั่น


อากาศได้มาง่ายๆ และมีอยู่มากมายร้อยพัน


ส่วนความรัก แม้เพียงฝัน . . . ก็สุขใจ


อากาศแทบไม่มีน้ำหนัก


ส่วนความรัก ใครก็เห็นว่ายิ่งใหญ่


อากาศ ไม่เคยสร้างความเสียใจ


หากความรัก ทำให้ต้องร้องไห้ มีน้ำตา


อากาศ ทำให้ทุกชีวิตดำรงอยู่


และความรัก ทำให้ลมหายใจทุกอณูมีคุณค่า


อากาศมองเห็นได้ยากด้วยสายตา


ส่วนความรัก เห็นด้วยตารู้ด้วยใจ


มีอากาศโลกก็เป็นอย่างที่เป็นอยู่


มีความรักโลกจะกลายเป็นสีชมพูหวานไหว


สำหรับอากาศ เข้า-ออกตามลมหายใจ


แต่ความรักหากมีไว้ . . . ก็ไม่อยากสูญเสียไปสักนิดเดียว


ดูแลรักษาอากาศว่าลำบาก


ดูแลความรัก ยิ่งยุ่งยาก หากไม่ชอบแลเหลียว


อากาศมากเท่าไหร่ . . . ก็ไม่กลมเกลียว


ความรักแม้บางเบาก็แน่นเหนียว . . .และผูกพัน


ส่วนประกอบของอากาศสามารถบรรยาย


แต่ความรักไม่อาจอธิบายด้วยคำสั้นๆ


อากาศ อาจดี - แย่ แต่ละวัน


ส่วนความรักนั้น จะยังคงอบอุ่นกรุ่นหัวใจ


"ความรัก" กับ "อากาศ"


หากถามฉันว่าเลือกที่จะขาดสิ่งไหน


แม้อากาศจำเป็นสักเพียงใด


ในโลกที่ความรักสิ้นไร้ . .ก็ไม่อาจทนอยู่ได้ เช่นกัน. . .

ความเหงา...เล่าเรื่อง



วันนี้....ฉันทำได้เพียงแค่ ถอยหลังออกมายืนดูเธอ อยู่ห่าง ๆ อีกครั้ง

ซึ่งฉันก็จำไม่ได้แล้วว่าเป็นครั้งที่เท่าไหร่ ตั้งแต่เรารู้จักกันมา

บางครั้ง....เหมือนฉันเป็นคนสำคัญ

แต่บางที..ฉันก็ไม่ได้เป็นอะไรเลย แม่แต่เศษผงที่ปลิวผ่านสายตาเธอ


ฉัน....ยังคงเป็นคนที่เดินหรือบางทีก็วิ่งจนล้มลุกคลุกคลานตามเธอเรื่อยมา

เธอ....ก็ยังเป็นคนที่มีกำแพงความเป็นส่วนตัวของเธอ ที่ทั้งสูงและแน่นหนา



บางครั้ง....เหมือนฉันเดินผ่านกำแพงนั้นไปได้อย่างง่ายดาย

บางครั้ง....ก็เหมือนกำแพงนั้นก่อตัวขึ้นใหม่ ทั้งสูงทั้งแน่นหนา จนฉันท้อใจ


แต่ทุกครั้ง ที่ฉันเริ่มถอดใจ....เธอ...ก็เริ่มมองเห็นฉันอีกครั้ง

แต่....ระหว่างทางที่เธอเดินไป...เธอได้เพื่อนร่วมทางใหม่ๆ ที่ถูกใจ

ฉัน....ก็จะหลุดออกมาอยู่นอกกำแพงของเธออีกครั้ง



บางที มันก็เหนื่อย....กับการที่ต้องพยายามทำให้เธอรู้ว่า ...ฉันยังมีตัวตนอยู่นะ...สนใจฉันหน่อยซิ



....จนวันนี้.....ฉัน....จะยังเป็น...ฉัน ...ที่ยังคงเดินตามเธอ


เพียงแต่...ฉันจะไม่พยายาม วิ่งตามเธอ จนล้มลุกคลุกคลานแล้วหล่ะ

...มันเหนื่อยเกินไป....


ฉัน....จะเดินทอดน่อง กินลมชมวิวไปเรื่อย ๆ

มันคงทำให้ฉันไม่เหนื่อย...และ...เธอ ก็จะได้ไม่ต้องก่อกำแพงขึ้นมาอีก



....และ....ทุกครั้งที่เธอหันมา


ฉัน.....ก็ยังคงยิ้ม และ โบกมือให้เธอได้อย่างสุขใจจริง ๆ



ถึงแม้ว่า.......จริง ๆ แล้ว.......

ฉัน....อยากเดินไปพร้อม ๆ กับเธอมากกว่า....ก็ตาม

อกหัก...เมื่อรักต้องจบ

ความอ้างว้างไม่ได้โหดร้ายอะไรนัก
มันก็แค่ช่วงเวลาที่เธอควรใช้มันให้กับตัวเอง
หลังจากที่วุ่นวายไปกับชีวิตคนอื่นมานานพอควร

ถ้าเธอเคยหกล้ม
เธอก็จะเดินอย่างระมัดระวังมากขึ้น
ไม่ใช่คิดจะไม่เดินอีกเลย

บางครั้งคนเรา
ก็ต้องยอม รับในสิ่งที่ตัวเองไม่เข้าใจ
และต้องยอมรับในการตัดสินใจของคนอื่น
ถึงมันจะไม่ดีกับเธอเลยก็ตาม
เพราะเราเลือกแต่เหตุการณ์นี้
ให้เกิดกับชีวิตเราไม่ได้เสมอไป

ความรักก็มีชีวิตเหมือนดอกไม้
และไม่มีแจกันใด
จะถนอมความงามของดอกไม้ไว้ได้ตลอดไปหรอก

ความเสียใจไม่ใช่เรื่องแปลก
แต่หากเสียใจไม่จบสิ้น นั่นจึงแปลก

ในขณะที่โลกหมุนรอบดวงอาทิตย์
มันก็ต้องไม่ลืมที่จะหมุนรอบตัวเอง
ในขณะที่เธอรักใคร
เธอก็ต้องไม่ลืมที่จะรักตัวเอง

หากคนเรามีความรักได้ครั้งเดียวในชีวิต
นั่นจึงควรร่ำร้องเมื่อรักได้สูญหาย
แต่ความจริงแล้ว
คนเรามีความรักได้หลายพันครั้งตลอดทั้งชีวิต

เมื่อเธอรู้สึกว่าตัวเองไม่เหลือใคร
นั่นคือสัญญาณเตือนว่า
เธอควรให้ความสำคัญกับตัวเองได้แล้ว

คนเราสามารถจำอะไรก็ได้
แต่เมื่อจำแล้ว
กลับไม่สามารถเลือกที่จะลืมบางส่วนของมันได้
แต่เลือกที่จะนึกถึงมันให้น้อยที่สุดได้

ไม่ว่าความรักจะทำให้วันนี้ของเธอปวดร้าวยังไง
แค่ครั้งหนึ่ง เธอเคยได้รักจากคนที่อยากรัก
เธอก็โชคดีมากแล้ว

สำหรับบางคน
ถ้าจะรัก ก็ยังไม่เจ็บ ถ้าเคยรัก ก็แค่เคยเจ็บ
แต่ถ้ายังรัก ก็จะยังเจ็บ

ขึ้นอยู่กับว่า เธออยากเป็นแค่คนที่เคยเจ็บ
หรืออยากเป็นคนที่ยังเจ็บอยู่ทุกวัน

เธอเคยฝืนใจรับใบปลิว
ที่แจกตามหน้าห้างสรรพสินค้า
เพราะเกรงใจคนแจกมันและ บางที
อาจมีคนรับความรักของเธอไป
เพราะเหตุผลอย่างเดียวกัน

สุดท้าย เขาก็ทิ้งมัน
เหมือนกับที่เธอทิ้งใบปลิวนั่นแหละ

คนบางคน
เป็นเพื่อนที่ดีได้ เป็นพี่ที่ดีได้ เป็นน้องที่ดีได้
แต่เป็นคนรักที่ดีไม่ได้
ก็ควรให้เขาเป็นในสิ่งที่เขาเป็นได้ และเป็นได้ดี

หลายๆสิ่งในโลก
ล้วนถูกสร้างมาให้มีด้านตรงข้าม
มันจึงต้องมีจุดผกผันแปรเปลี่ยน
ความรักก็มีจุดเปลี่ยนของมัน
จึงเป็นเรื่องจำเป็น ที่เธอต้องยอมรับมันให้ได้

แก้วกาแฟใบโปรด แตกไปเสียแล้ว
เก็บไว้ก็บาดมือ
ความรัก จากไปเสียเสียแล้ว
เก็บไว้ก็บาดใจ

สำหรับความรักที่ผ่านมา
ควรแยกให้ได้ว่า อะไรควรจำไว้ประทับใจ
อะไรควรจำไว้เป็นบทเรียน

ค่ำคืนแห่งความเงียบเหงา
ไม่ได้ยาวนานไปกว่าคืนไหนๆ หรอก
อีกไม่นานก็เช้า ชีวิตก็วุ่นวายเหมือนเดิมแล้ว

หนังสือเล่มไหนที่อ่านแล้วไม่ถูกใจ
ก็ไม่ต้องกลับไปอ่านรอบสอง
ความทรงจำที่นึกถึงแล้วเจ็บปวด
ก็อย่าไปนึกถึงมันเป็นครั้งที่สอง

เมื่ออ่อนแอจนถึงที่สุด
ความเข้มแข็งจะเข้ามาแทนที่

เมื่อเธออยากให้หัวใจมีความรัก
ก็ต้องยินยอมที่จะให้มันเจ็บปวด

เหมือนเด็กที่อยากจะเดิน
ก็ต้องยินยอมที่จะล้มลุกคลุกคลาน

ความรู้สึกสูญเสีย ร้ายแรงเสมอ
สำหรับคนที่ไม่ยอมรับความจริง


ความเจ็บปวด
ไม่ได้ต้องการเวลาเพียงไม่กี่วันในการรักษา
ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ว่า
เธอจะเลิกเจ็บปวดเมื่อไหร่

แต่มันอยู่ที่ว่า
เธอจะใช้ชีวิตในขณะที่ยังเจ็บปวดอย่างไรต่างหาก

คนที่ควรรัก อาจไม่ใช่คนที่เธอรัก
อาจไม่ใช่คนที่รักเธอ
อาจไม่ใช่คนที่รักกันมาก่อน
อาจไม่ใช่คนที่กำลังรักอยู่
อาจไม่ใช่คนที่คิดจะรัก
แต่คนที่ควรรัก
อาจเป็นคนที่เธอยังไม่เคยรักเลยก็ได้

ทำไมต้องเรียกร้องความรักจากคนๆเ ดียว
ในเมื่อเธอก็มีความรักจากคนรอบข้างมากมาย

ไม่มีความเจ็บปวดครั้งใด
ไม่ให้ประโยชน์กับชีวิต
ขึ้นอยู่กับว่า
เธอรู้จักที่จะใช้ความเจ็บปวดนั้นทำให้เธอเข้มแข็ง
หรือปล่อยให้มันทิ่มแทง จนเจ็บซ้ำแล้วซ้ำเล่า

การเปลี่ยนแปลง เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นง่ายที่สุด
และยอมรับได้ยากที่สุด
แต่เมื่อเรายอมรับได้แล้ว
มันก็จะเป็นเรื่องธรรมดาที่สุด

ความรักไม่ได้ทำร้ายใคร
แต่คนเรามักใช้มันทำร้ายตัวเอง

เด็กที่เพิ่งหกล้ม
อย่าไปถามเขาว่า
เจ็บมากมั้ย หายเจ็บหรือยัง
นั่นจะทำให้เขายิ่งร้องไห้

หัวใจที่เจ็บปวด
ก็อย่าไปถามซ้ำๆ ถึงความเจ็บนั้นเลย
ความเจ็บปวดที่ร้ายแรงที่สุด คือ
ความเจ็บปวดที่เธอเฝ้าคิดถึงแต่มันซ้ำแล้วซ้ำเล่า

ถ้าเธอเคยล้ม
เธอก็จะเดินอย่างระมัดระวังมากขึ้น
นั่นเองคือเหตุผลว่า
ทำไมคนเราจึงต้องเจ็บปวดเสียบ้าง

ถ้าความรักของเธอเหมือนดอกไม้
หัวใจเขา เหมือนทะเลทราย

คงเปล่าประโยชน์ ที่เธอจะปลูกดอกไม้ให้งดงามในทะเลทราย

ระหว่างการเดินทาง
หากมีเพื่อนร่วมทางสักคน
ก็นับว่าเป็นโชคดีของเธอแล้ว
และเมื่อเขาจำเป็นต้องแยกไป
เธอควรขอบคุณที่เขาร่วมทางมา
ไม่ใช่ตัดรอนต่อว่า ที่เขาแยกทางไป

ว่ากันว่า ช่วงชีวิตของคนเรามีจำกัด
ยิ่งใช้เวลาไปกับความเศร้าโศกนานเท่าไหร่
ก็จะเหลือช่วงเวลาที่ดี ลดน้อยลง

โต๊ะกับเก้าอี้

โต๊ะกับเก้าอี้ ก็คือเฟอร์นิเจอร์ชิ้นหนึ่งในบ้าน
ที่แทบจะทุกบ้านต้องมี .....
แต่ละบ้านก็จะมีโต๊ะและเก้าอี้แต่ละแบบไม่เหมือนกัน
แตกต่างกันตามการใช้งานและฐานะของผู้เป็นเจ้าของ

โต๊ะกับเก้าอี้นั้นเป็นของคู่กันที่ไม่จำเป็นต้องใช้คู่กันในทุกครั้ง
บางทีเราอาจแค่ต้องการนั่งบนเก้าอี้
และบางทีเราก็อาจแค่ต้องการโต๊ะไว้วางของเพียงอย่างเดียว
แต่...ถ้ามันอยู่ด้วยกันก็จะดูสมบูรณ์แบบได้มากกว่า
และประโยชน์ใช้สอยมันก็จะมากกว่าด้วย

เหมือนกับผู้หญิงกับผู้ชายที่เป็นของคู่กัน
....อย่างไรอย่างนั้น


มีเพื่อนคนหนึ่งถามฉันต่อว่า

“ แล้วตกลงผู้หญิงหรือผู้ชาย ใครกันที่เป็นโต๊ะ ใครกันที่เป็นเก้าอี้ ”

ฉันตอบไปว่า

“ โต๊ะน่าจะเป็นผู้ชาย และเก้าอี้น่าจะเป็นผู้หญิง
เพราะโต๊ะสามารถมีเก้าอี้ ได้มากกว่าหนึ่ง
แต่ถ้าเมื่อไรก็ตาม ที่เก้าอี้ริจะมีโต๊ะมากกว่าหนึ่งจะดูไม่งาม
และสังคมจะรุมประนามทันที ” (ฮา)

แล้วเพื่อนคนเดิมมันก็ถามต่ออีกว่า

“ ก็แล้วจะมีโต๊ะสักกี่ตัวในโลกนี้ ที่มันอยากจะมีเก้าอี้แค่เพียงตัวเดียว ”

ฉันก็เลยตอบมันไปว่า


ก็โต๊ะเขียนหนังสือไงแก...แกเคยเห็นใครวางเก้าอี้ไว้ที่โต๊ะเขียนหนังสือมากกว่าหนึ่งตัวกันบ้าง
ไม่เหมือนโต๊ะกินข้าวกับโต๊ะรับแขก พวกนี้เจ้าชู้ มีเก้าอี้ตั้งเยอะ
บางบ้านก็ 4 ตัว บางบ้านก็ 6 ตัวหรืออาจมากกว่า ”

“ อ๊ะ .. แต่โต๊ะเครื่องแป้งเค้าก็รักเดียวใจเดียวเหมือนกันนะ
..มีเก้าอี้ตัวเดียวเหมือนกัน ” มันเสริมให้

“ เออ..จริงว่ะ ”

“ อาจเป็นเรื่องของขนาดก็ได้มั้งแก..ก็โต๊ะกินข้าวน่ะมันมีขนาดใหญ่
มันก็เลยต้องการเก้าอี้มาก ๆ เพื่อมาเสริมบารมี
เหมือนคนรวย ๆ ชอบมีอีหนูเยอะ ๆ ไว้ประดับบารมี
ส่วนโต๊ะเขียนหนังสือ โต๊ะเครื่องแป้งน่ะ ขนาดมันไม่ใหญ่
เหมือนคนฐานะปานกลางไปจนถึงยากจน
จะมีเมียมากกว่าหนึ่งก็เลี้ยงไม่ไหว ”

มันอธิบายเสียยืดยาว แล้วฉันก็ฮาอีก ในความช่างคิดของทั้งมันและฉัน
มานั่งนึกแล้วก็อดขำไม่ได้ ในความเหมือนโดยบังเอิญระหว่างโต๊ะกับเก้าอี้
และความสัมพันธ์ระหว่างหญิงกับชาย

มาพูดถึงเก้าอี้กันบ้าง เพื่อนมันถามฉันต่อว่า

“ แล้วแกว่าเก้าอี้แบบไหนในโลกวะ ที่มันจะชอบมีโต๊ะมากกว่าหนึ่ง ”

มันเล่นเอาฉันคิดนานอยู่เหมือนกัน

“ ก็เก้าอี้ล้อเลื่อนไงวะ พวกนี้ชอบเลื่อนไปโต๊ะโน้น ย้ายมาโต๊ะนี้
เปลี่ยนโต๊ะอยู่เรื่อย ”

คราวนี้เปลี่ยนมาเป็นมันบ้างที่ขำ

“ เค้าเรียกมีรักสำรองเผื่อเลือกใช่ไหมแบบนี้ ” มันว่า

คงยุ่งน่าดูถ้าเก้าอี้ล้อเลื่อนมาเจอกับโต๊ะกินข้าว
เราก็เลยไม่เคยเห็นใครเอา เก้าอี้ล้อเลื่อนมาตั้งกับโต๊ะกินข้าวเลยสักที

มันก็คงเหมือนการที่แม่เหล็กขั้วเดียวกันมันจะผลักกันนั่นแหละ
เราเลยไม่ค่อยเห็นเท่าไหร่นัก
ที่ผู้หญิงไวไฟจะมาจับคู่กับผู้ชายเจ้าชู้

โดยมากถ้าอีกฝ่ายเจ้าชู้
อีกฝ่ายจะสงบสยบอยู่เสียมากกว่า
มันถึงจะอยู่ด้วยกันได้ ไปด้วยกันรอด

ในความสัมพันธ์ระหว่างคนสองคน
ฉันว่าเราไม่จำเป็นต้องเป็นโต๊ะกับเก้าอี้ที่สวยหรูงดงามมากมายอะไรนัก
แค่พอดูได้ ใช้งานได้ มันก็ไม่น่าเกลียดอะไรแล้วล่ะ
เอาแค่แบบโต๊ะเขียนหนังสือ มีโต๊ะหนึ่งเก้าอี้หนึ่ง
นั่งแล้วรู้สึกสบาย
ถ้าเหนื่อยนักก็ฟุบหน้าหลับตาพักได้

หรือถ้าจะสวยงามก็ขอให้มันดูสวยงามแค่อย่างโต๊ะเครื่องแป้ง
ที่ดูดีสวยงาม เพราะหมั่นดูแลกันและกัน
เป็นกระจกคอยสะท้อนซึ่งกันและกัน
อยู่ร่วมกันโต๊ะหนึ่งเก้าอี้หนึ่งอย่างเข้าใจ
อย่าให้ต้องเป็นเหมือนโต๊ะกินข้าว ที่ยิ่งใหญ่ร่ำรวย
แต่ก็ไม่สามารถดูแลเก้าอี้ที่มีได้อย่างทั่วถึง
กว่าจะแบ่งความห่วงใยมาใส่ใจแต่ละที
ก็คงต้องรอจนเหงาเฉาตายกันไปเสียก่อน

หรือไม่จำเป็นต้องสวยงามหรือหรูหรา ถึงขนาดโต๊ะรับแขก
ที่มีเอาไว้แค่เพียงอวดชาวบ้านที่ผ่านไปผ่านมา
ใครเห็นใครพบก็สบายใจ

แต่เก้าอี้ (โชฟา) นี่สิช้ำ
ต้องโดนโถมโดนทับไม่รู้จักเท่าไหร่
เพราะใคร ๆ ก็พากันแวะ

ถ้าจะมีความรักฉันอยากรักแบบโต๊ะเขียนหนังสือ
หรือโต๊ะเครื่องแป้งก็พอ ไม่ยิ่งใหญ่ ไม่หรูหรา
แต่อบอุ่นพอให้บ้านน่าอยู่อาศัย

ฉันว่าถ้าแท้จริงแล้วคนเราวัดคุณค่ากันจากภายในจิตใจ
โต๊ะกับเก้าอี้ก็คงไม่ต่าง
ตรงที่เราวัดคุณค่ามันจากประโยชน์ใช้สอยมากกว่ารูปลักษณ์ภายนอก
บางทีเก้าอี้อาจขาหักขาโยกไปบ้างนะ
ถ้าตั้งเองไม่ได้ก็ไม่เป็นไร อาศัยพิงโต๊ะเอาก็ได้
ก็ไหน ๆ เราก็คู่กันอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ

หรือบางที

โต๊ะอาจสึกมีรอยบิ่นรอยขีดข่วนไปบ้างก็ไม่เป็นไรหรอกนะ
เพราะเก้าอี้เค้าจะคอยบดบังให้เอง

ความจริงแล้ว
คนเรารักกันมันไม่ต้องการองค์ประกอบอะไรที่มากมายเลย
แค่หมั่นเติมเต็มซึ่งกันและกันก็พอแล้ว
เพราะโต๊ะกับเก้าอี้ที่ไม่เข้าชุดกัน
เมื่อจับมาวางคู่กัน
ประโยชน์ใช้สอยมันก็ไม่ได้ลดน้อยลงไป
แค่ความสวยงามมัน(อาจจะ)ลดน้อยลงไปเท่านั้นเอง

แล้วบ้านของคุณเองล่ะอยากให้มีโต๊ะกับเก้าอี้แบบไหนเคยคิดเอาไว้บ้างหรือเปล่า.........

อับราฮัม ลินคอร์น เคยกล่าวไว้ว่า

“ คนเราจะมีความสุขได้เสมอทุกเมื่อถ้าตั้งใจจะให้ตนเองมีความสุข ”

ในความเป็นจริงเราไม่สามารถเลือกได้ดังใจเราทุกอย่าง
ถ้าคุณเป็นเก้าอี้
คุณไม่มีทางรู้ได้ในทั้งหมดทุกส่วนว่าโต๊ะของคุณเขาจะเป็นอย่างไร
คุณอาจไม่จำเป็นที่จะต้องชอบในทั้งหมดของโต๊ะของคุณ
และถ้าคุณเองเป็นโต๊ะ
คุณก็คงไม่มีทางที่จะพอใจในทุกส่วนที่เก้าอี้ของคุณมีเพราะความสมบูรณ์แบบที่แท้จริง
ไม่มีอยู่บนโลกใบนี้....
ฉันเชื่ออย่างนั้น หากแต่
ศิลปะสุดยอดของการอยู่ร่วมกันคือ

การให้อภัย

อะไรที่เค้าขาดไปบ้างเราก็หมั่นเติม
อะไรที่เค้าเกินไปบ้างเราก็เอามาเติมให้เราเอง
ถ้าเป็นแบบนี้เราจะสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างงดงามมากกว่าไหม

" ว่าไหม ? "

ตำนานพระจันทร์


นานมาแล้ว..สมัยที่โลกยังมีพระจันทร์ 2 ดวง
มีดวงจันทร์ดวงหนึ่งเป็นผู้หญิง
..กับอีกดวงหนึ่งเป็นผู้ชาย

และดวงจันทร์ทั้งสองดวงนี้ ต่างก็รักกันมาก
ดวงจันทร์ทั้งสองไม่เคยแยกห่างจากกัน…


...ทุกๆ คืนเมื่อมองไปบนฟ้า
จะเห็นดวงจันทร์ทั้งคู่ อยู่เคียงข้างกันเสมอ..

แต่แล้ววันหนึ่ง..
ดวงจันทร์ผู้หญิงได้ไปพบกับดวงอาทิตย์
ทำให้ดวงจันทร์ผู้หญิงหลงใหลในแสงเจิดจ้าของดวงอาทิตย์
จนเลื่อนตัวตามดวงอาทิตย์ไปทีละน้อย ทีละน้อย ..............
และก็แยกมาจากดวงจันทร์อีกดวงหนึ่งในที่สุด...
เมื่อค่ำคืนมาถึง..

จึงมีดวงจันทร์ผู้ชายเหลืออยู่ เพียงดวงเดียว ...
ส่วนดวงจันทร์ผู้ชายก็ได้แต่ตามหา ดวงจันทร์ผู้หญิงไปทุกหนทุกแห่ง...
คืนแล้วคืนเล่า วันเวลาล่วงผ่านไป

แต่ดวงจันทร์ผู้ชายก็ไม่สามารถหาดวงจันทร์ผู้หญิงได้พบ.. .....
ด้วยความคิดถึง และอยากพบดวงจันทร์ผู้หญิงให้เร็วที่สุด
ทำให้ดวงจันทร์ผู้ชายคิดว่า

"หากเรามัวแต่ตามหาอยู่อย่างนี้ คงไม่ได้เจอแน่ๆ"
จึงตัดสินใจ.. ระเบิดตัวเอง เป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ไปทั่วทั้งจักรวาล
เพื่อให้ชิ้นส่วนแต่ละชิ้น ออกตามหาดวงจันทร์อีกดวงหนึ่งนั้น...






..... เมื่อเวลาผ่านไป
ทำให้ดวงจันทร์ผู้หญิง ได้เห็นถึงความจริงว่า..
แม้ดวงอาทิตย์จะส่องแสงเจิดจ้า สวยงามสักปานใด
แต่ดวงอาทิตย์ก็มิได้ส่องแสงเจิดจ้า แต่เพียงเธอเท่านั้น
ยังส่องแสงไปยังดาวดวงอื่นๆ อีกมากมาย

ดวงจันทร์ผู้หญิงจึงกลับมาหาดวงจันทร์ผู้ชายอีกครั้ง...
.... แต่หาเท่าไรก็หาดวงจันทร์ผู้ชายไม่พบ
ต่อมาจึงได้รู้ว่า ดวงจันทร์ผู้ชายยอมระเบิดตัวเอง เพียงเพื่อตามหาตน
จนกระจัดกระจายเป็นเศษเสี้ยวเล็กๆ
ทำให้ดวงจันทร์ผู้หญิงรู้ว่าไม่มีวันที่จะได้เจอ
กับดวงจันทร์ผู้ชายอีกต่อไปแล้ว

จึงได้แต่โศกเศร้า และเสียใจ ....
แต่ด้วยความรักอันยิ่งใหญ่ที่ดวงจันทร์ผู้ชาย มีต่อดวงจันทร์ผู้หญิง
ทุกค่ำคืนจึงพยายามเปล่งประกายแสง
ที่ยังเหลืออยู่เพียงน้อยนิดของตน
ส่งให้ถึงดวงจันทร์ผู้หญิง
เกิดเป็นแสงพร่างพรายเต็มท้องฟ้า เคียงข้างดวงจันทร์
จนเกิดเป็นดวงจันทร์และดวงดาว ให้เราเห็นจนถึงทุกวันนี้ ....
หากเรามองขึ้นไปบนท้องฟ้ายามค่ำคืน
วันไหนที่เห็นจันทร์สวยสด

วันนั้น คุณก็จะไม่เห็นดาวดวงเล็กดวงน้อยส่องแสง

หรือ วันใดคุณเห็นดาวเปล่งประกายเต็มฟ้ามืด

วันนั้น คุณก็จะไม่พบดวงจันทร์....

.....เขาและเธอ ไม่อาจพบกันตลอดกาล.....

พรุ่งนี้ไม่สายที่จะรักกัน(จริงหรือ)

เธอลืมโทรศัพท์มือถือไว้บนรถไฟฟ้า

กว่าผมจะเห็นรถไฟก็ออกจากสถานีแล้ว

ผมได้แต่หวังคอยว่าเธอจะโทรกลับมาเข้าเครื่องเพื่อเช็คว่าใครเป็นคนเก็บให้

เฝ้าคิดประโยคคำพูดสวยๆ และสถานที่นัดหมายเท่ๆ สำหรับการคืนโทรศัพท์

ใช่...ผมแอบชอบเธอมาหลายสถานีแล้ว ขึ้นสถานีเดียวกัน … นั่งข้างกัน

อยากพูดคุยแต่ไม่กล้า

ผมลอบมองเธอผ่านเงาสะท้อนจากกระจกหน้าต่างรถ

และแล้ว....โทรศัพท์ก็มีสายเรียกเข้า

ผมรับสายแต่ไม่ใช่เสียงของเธอ

เป็นเสียงจากนางพยาบาล

คุณพ่อเธอเป็นลมฟุบข้างถนน

พลเมืองดีช่วยอุ้มส่งโรงพยาบาล

อาการหนักมากต้องรับการผ่าตัดด่วน

คุณพ่อมีเธอเป็นลูกคนเดียว

ผมมีมือถืออันเดียวของเธอ

ผมจึงกลายเป็นญาติคนเดียวที่สนิทที่สุดในขณะนี้

ผมรีบไปโรงพยาบาลทันที ถึงห้องไอซียู

ป้ายหน้าห้องบอกให้ปิดมือถือก่อนเข้า

แล้วพอปิดมือถือของเธอผมก็เปิดอีกไม่ได้

เพราะรหัสผ่านไม่มี

ผมทำทุกอย่างเท่าที่พอจะทำได้

เซ็นชื่ออนุญาตให้ทำการผ่าตัดคุณพ่อ

ผมรับผิดชอบค่าใช้จ่ายทั้งหมด

รวมทั้งกลับไปตามหาเธอบนสถานีรถไฟฟ้าที่เห็นเธอครั้งสุดท้าย

ผมรู้สึกได้ว่าเธอก็คงกระวนกระวายตามหาคุณพ่อของเธอเหมือนกัน

"เธอมารับคุณพ่อกลับไปแล้วค่ะ"

นางพยาบาลบอกเมื่อเห็นผมงงกับเตียงคนไข้ที่ว่างเปล่า

"เห็นบอกว่าพอรู้ว่าคุณพ่อเธอหายไป เธอก็โทรเช็คทุกโรงพยาบาลที่ใกล้บ้าน"

แต่ผมเช็คทุกบ้านที่ใกล้โรงพยาบาลไม่ได้

"เธอยังฝากข้อความถึงคุณด้วย"

นางพยาบาลยื่นกระดาษแผ่นเล็กๆ มาให้

เป็นตัวเลขสี่หลักลายมือบรรจง

“2120”

"เธอบอกจะโทรไปหาคุณเอง" พยาบาลยิ้มและบอกผม....

วันเวลาผ่านไป นาน เท่าไหร่จำไม่ได้.....

เธอ : ขอบคุณสำหรับทุกสิ่งทุกอย่างนะคะ

เขา : ไม่เป็นไรหรอกครับ

เธอ : แล้วเราจะเจอกันที่ไหนดีคะ

เขา : ตรงแบล็คแคนย่อนในสถานีรถไฟที่เราเคยขึ้นบ่อยๆ เป็นไงครับ

เธอ : ได้ค่ะ กี่โมงดีคะ

เขา : อีกชั่วโมงนึงเจอกันนะครับ

เธอ : ได้ค่ะ พอคุณถึงแล้วโทรเข้าเบอร์นี้นะคะ 01***-****

และแล้ววันเวลาที่เขาจะบอกรักก็มาถึง

เขา : คือผมเห็นคุณขึ้นระไฟฟ้าไปทำงานมาสามปีแล้วครับ

ทุกครั้งถ้ามีที่ว่างผมพยายามไปนั่งข้างคุณ หรือไม่ก็ไปยืนข้างๆ คุณ

ผมแอบมองคุณจากเงาสะท้อนในกระจกทุกครั้งเลยครับ

เธอ : จริงหรือคะ ดิฉันก็มองคุณมานานแล้วค่ะ

แต่ดิฉันมองที่คุณตรงๆ เลยค่ะ

ดิฉันมองคุณปีนึงเต็มๆ เลยค่ะ

แต่คุณไม่มีทีท่าว่าจะมองดิฉันเลย

ตอนนั้นดิฉันเห็นคุณมองแต่วิวข้างนอก

ดิฉันมองอยู่หนึ่งปีเต็ม

ดิฉันคิดว่าคงไม่มีหวังแล้ว ยังไงๆ เขาก็ไม่สนใจดิฉัน

ดิฉันเลยไม่ได้สนใจคุณอีกเลยค่ะ

สองปีให้หลังดิฉันเลยมองคนที่อยู่อีกข้างของดิฉัน

แล้วเขาก็ส่งยิ้มให้ดิฉันค่ะ

เรามองกันอยู่ปีครึ่งค่ะ

หกเดือนที่แล้วเราก็ได้คุยกันครั้งแรกค่ะ

คุณเชื่อมั๊ยคะว่าเราเพิ่งหมั้นกันอาทิตย์ที่แล้วเองค่ะ

เขา : ...(อึ้งไปเลยพูดไม่ออก)......คะคคครับ......

“ขอให้คุณกับคู่หมั้นมีความสุขมากๆ แล้วเจอกันครับ ... บายยยย”

หลังจากนั้นเป็นต้นมาผมได้แต่คิดว่า ...

ทำไมตอนนั้นผมถึงไม่เข้าไปคุยกับเธอ

ทำไมผมไม่บอกเธอ...ว่าชอบ

ทำไมผมไม่บอกเธอ...ว่าสนใจ

ณ ตอนนั้นที่เจอเธอทำไมผมต้องบอกตัวเองว่า

เดี๋ยวพรุ่งนี้ค่อยบอกเธอก็ได้...เฮ้อออออ

วันอาทิตย์ที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

วิธี พิชิตความอาย

 รูปสวย น่ารัก glitter emoticon www.yenta4.com
"ความอาย" อุปสรรคชิ้นใหญ่ชิ้นหนึ่งที่คอยขัดขวางความสำเร็จ ลองดูเคล็ดลับข้ามผ่านความอาย เพื่อเปิดรับโอกาสดี ๆ ที่อาจเข้ามาในชีวิต
"ความอาย" เป็นต้นเหตุสำคัญอย่างหนึ่งที่ทำให้คนเสียโอกาสในหลาย ๆ เรื่อง หากต้องการพัฒนาตนเองและกำจัดความอาย จำเป็นต้องมีความกล้าแสดงออกเพิ่มขึ้น วันนี้จึงขอเสนอเคล็ดลับวิธีพิชิตความอาย เพื่อนำไปปรับใช้กับตนเอง
รูปสวย น่ารัก glitter emoticon www.yenta4.comสิ่งแรกที่ควรคำนึงถึงคือ 'การคิดบวก' การที่เราคิดถึงแต่เรื่องดี ๆ ช่วยเสริมสร้างความมั่นใจได้ เพราะเมื่อเราคิดบวก จะทำให้กล้าทำอะไรต่าง ๆ มากขึ้น โดยไม่กลัวความล้มเหลวที่อาจเกิดขึ้น แล้วความอายก็ไม่ใช่ปัญหาอีกต่อไป
รูปสวย น่ารัก glitter emoticon www.yenta4.comประการต่อมาคนขี้อายจำเป็นต้องยอมรับความจริง และกล้าที่จะเผชิญหน้า กับเรื่องที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ทำความเข้าใจกับสิ่งนั้นอย่างมีเหตุผล แล้วทำด้วยความมั่นใจ แค่นี้ความอายก็จะหายไป
รูปสวย น่ารัก glitter emoticon www.yenta4.com
เมื่อมีโอกาสควรลองทำสิ่งดี ๆ ที่แปลกใหม่ในชีวิต สิ่งที่ไม่เคยทำ หรือ ไม่กล้าที่จะทำมาก่อน พยายามเปิดใจมองให้ต่างจากมุมเดิมที่เคยมอง
และต้องหมั่นเรียนรู้พร้อมทั้งกระตือรือร้นอยู่เสมอ นอกจากนั้นต้องยอมรับกับความผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้น โดยให้คิดซะว่าเป็นบทเรียนเพื่อไว้ใช้ปรับปรุงตนเองในครั้งต่อ ๆ ไป ที่สำคัญอย่าเปรียบเทียบตนเองกับคนอื่น ซึ่งบางครั้งอาจทำให้เรารู้สึกดี แต่ก็ต้องมีด้านที่ทำให้รู้สึกแย่เช่นกัน ให้เปลี่ยนจากการเปรียบเทียบเป็นเรียนรู้จากผู้อื่น จะเกิดประโยชน์ต่อตนเองมากกว่า.
รูปสวย น่ารัก glitter emoticon www.yenta4.com รูปสวย น่ารัก glitter emoticon www.yenta4.com รูปสวย น่ารัก glitter emoticon www.yenta4.com